ใครๆ ก็พูดถึงสายมู แต่รู้กันไหมว่าความเชื่อนี้มีที่มาที่ไปยังไง? วันนี้เราจะพาทุกคนย้อนเวลากลับไปดูประวัติความเป็นมาของสายมู ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รับรองว่าอ่านจบแล้วต้องทึ่งแน่นอน!
ก่อนจะไปดูประวัติกัน มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า “สายมู” คืออะไรกันแน่
“สายมู” เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่สนใจเรื่องความเชื่อ โหราศาสตร์ หรือสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ แต่ความจริงแล้ว คำนี้เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเท่านั้นเอง แต่ความเชื่อเรื่องพลังลึกลับนั้นมีมานานแล้ว
แล้วประวัติของสายมูเป็นยังไงบ้าง? ไปดูกันเลย!
ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จุดเริ่มต้นของความเชื่อ
ย้อนกลับไปเมื่อหลายพันปีก่อน มนุษย์เราเริ่มมีความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติแล้ว ลองนึกภาพดูสิ คนสมัยก่อนเห็นฟ้าร้องฟ้าผ่า ก็คงจะกลัวและสงสัยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง
พวกเขาเลยคิดว่าต้องมีพลังบางอย่างที่ควบคุมธรรมชาติอยู่แน่ๆ นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของความเชื่อเรื่องเทพเจ้าและพลังลึกลับต่างๆ
ในยุคนี้ เราจะเห็นการสร้างอนุสาวรีย์หินขนาดใหญ่ เช่น สโตนเฮนจ์ ที่อังกฤษ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาและดูดวงดาว นี่แหละคือต้นกำเนิดของสายมูยุคแรกๆ เลยล่ะ
ยุคอียิปต์โบราณ ต้นกำเนิดโหราศาสตร์
พอมาถึงยุคอียิปต์โบราณ ประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ความเชื่อเรื่องพลังลึกลับก็พัฒนาขึ้นอีกขั้น ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าดวงดาวมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์
พวกเขาสร้างปิรามิดให้ตรงกับตำแหน่งของดาวบนท้องฟ้า และใช้ดวงดาวในการทำนายอนาคต นี่แหละคือจุดกำเนิดของโหราศาสตร์ ที่สายมูยุคนี้นิยมกันมาก
นอกจากนี้ ชาวอียิปต์ยังเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย มีการทำมัมมี่และสร้างสุสานขนาดใหญ่ นี่ก็เป็นอีกความเชื่อที่สายมูยุคหลังๆ ยังคงสนใจกันอยู่
ยุคกรีกและโรมัน เทพเจ้าและปรัชญา
มาถึงยุคกรีกและโรมันโบราณ ประมาณ 800 ปีก่อนคริสตกาล ถึง 500 ปีหลังคริสตกาล ความเชื่อเรื่องเทพเจ้าก็ยิ่งซับซ้อนขึ้น มีเทพเจ้าหลายองค์ที่ดูแลเรื่องต่างๆ ในชีวิต
แต่ที่น่าสนใจคือ ในยุคนี้เริ่มมีนักปรัชญาที่พยายามอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติด้วยเหตุผล ไม่ใช่แค่เชื่อว่าเป็นการกระทำของเทพเจ้าเท่านั้น
นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการผสมผสานระหว่างความเชื่อและเหตุผล ซึ่งสายมูยุคปัจจุบันก็ยังคงทำแบบนี้อยู่ คือพยายามหาเหตุผลมาอธิบายสิ่งที่เชื่อ
ยุคกลาง ยุคมืดแห่งความเชื่อ
พอเข้าสู่ยุคกลาง ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 5-15 ความเชื่อเรื่องพลังลึกลับก็ยิ่งแพร่หลาย แต่ก็มีด้านมืดด้วย มีการล่าแม่มดและคนที่ถูกกล่าวหาว่าใช้เวทมนตร์
ในยุคนี้ มีการผสมผสานระหว่างความเชื่อทางศาสนาและความเชื่อเรื่องเวทมนตร์ มีการใช้เครื่องรางของขลัง และพิธีกรรมต่างๆ เพื่อป้องกันภัยและรักษาโรค
แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่พยายามศึกษาวิทยาศาสตร์และปรัชญา แม้จะถูกต่อต้านจากศาสนจักรก็ตาม นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ระหว่างความเชื่อและวิทยาศาสตร์ ซึ่งยังคงมีให้เห็นในปัจจุบัน
ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ การกลับมาของเหตุผล
พอเข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 14-17 ความเชื่อเรื่องพลังลึกลับก็เริ่มถูกท้าทายมากขึ้น นักวิทยาศาสตร์และนักคิดเริ่มอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความเชื่อเรื่องพลังลึกลับจะหายไป มันแค่เปลี่ยนรูปแบบไป มีการศึกษาเรื่องพลังลึกลับอย่างเป็นระบบมากขึ้น เช่น การศึกษาเรื่องการแปรธาตุในวิชาเล่นแร่แปรธาตุ
นี่เป็นยุคที่ความเชื่อและวิทยาศาสตร์เริ่มผสมผสานกัน ซึ่งเป็นแนวคิดที่สายมูยุคปัจจุบันยังคงยึดถืออยู่
ยุคแห่งเหตุผล ความเชื่อถูกท้าทาย
เมื่อเข้าสู่ยุคแห่งเหตุผล หรือยุคภูมิธรรม ในคริสต์ศตวรรษที่ 17-18 ความเชื่อเรื่องพลังลึกลับก็ถูกท้าทายอย่างหนัก นักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาพยายามอธิบายทุกอย่างด้วยเหตุผลและหลักฐาน
แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่ยังคงศึกษาเรื่องพลังลึกลับอยู่ เช่น กลุ่มฟรีเมสัน ที่เชื่อในพลังลึกลับและใช้สัญลักษณ์ต่างๆ ในพิธีกรรม
ในยุคนี้ เริ่มมีการแบ่งแยกระหว่าง “ความเชื่อ” และ “ความรู้” อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการถกเถียงระหว่างสายมูและสายวิทย์ที่ยังคงมีให้เห็นในปัจจุบัน
ยุคโรแมนติก การกลับมาของจินตนาการ
พอเข้าสู่ยุคโรแมนติก ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ความเชื่อเรื่องพลังลึกลับก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง
ในยุคนี้ ผู้คนเริ่มเบื่อหน่ายกับเหตุผลและวิทยาศาสตร์ที่แห้งแล้ง และหันมาสนใจเรื่องจินตนาการและอารมณ์มากขึ้น มีการฟื้นฟูความสนใจในเรื่องโบราณคดี ตำนาน และเรื่องเหนือธรรมชาติ
นี่เป็นยุคที่เกิดนิยายแนวกอธิค ที่มีเรื่องผี วิญญาณ และพลังลึกลับ ซึ่งยังคงเป็นที่นิยมในหมู่สายมูยุคปัจจุบัน
ยุควิคตอเรียน การผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และความเชื่อ
ในยุควิคตอเรียน ช่วงกลางถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เกิดการผสมผสานที่น่าสนใจระหว่างวิทยาศาสตร์และความเชื่อเรื่องพลังลึกลับ
มีการจัดตั้งสมาคมวิจัยจิต (Society for Psychical Research) ในอังกฤษ เพื่อศึกษาปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาเรื่องจิตวิทยาเชิงลึกและจิตวิทยาอภิปรัชญา
ในยุคนี้ยังเกิดลัทธิทางจิตวิญญาณใหม่ๆ เช่น ลัทธิเทวนิยม ที่พยายามผสมผสานแนวคิดทางวิทยาศาสตร์เข้ากับความเชื่อทางศาสนา
ยุคนิวเอจ จุดกำเนิดของสายมูยุคใหม่
เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 เกิดกระแสนิวเอจขึ้น ซึ่งเป็นการผสมผสานความเชื่อจากหลากหลายวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน
ในยุคนี้ ผู้คนเริ่มสนใจเรื่องพลังงาน จักรวาล และการพัฒนาจิตวิญญาณ มีการนำแนวคิดจากศาสนาตะวันออก เช่น การทำสมาธิ โยคะ มาผสมผสานกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยา
นี่เป็นจุดกำเนิดของสายมูยุคใหม่ ที่ไม่ได้เชื่อแบบงมงาย แต่พยายามหาเหตุผลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนความเชื่อของตัวเอง
ยุคดิจิทัล สายมูบนโลกออนไลน์
เมื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัลในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 ความเชื่อเรื่องพลังลึกลับก็แพร่หลายบนโลกออนไลน์ มีเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่น และช่องทางโซเชียลมีเดียมากมายที่นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับโหราศาสตร์ การทำนายดวงชะตา และการพัฒนาจิตวิญญาณ
ในยุคนี้ คำว่า “สายมู” เริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายในสังคมไทย โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจเรื่องพลังลึกลับ แต่ก็ยังคงมีมุมมองที่เปิดกว้างและพร้อมรับฟังมุมมองทางวิทยาศาสตร์
สายมูยุคนี้มักจะผสมผสานความเชื่อหลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน เช่น อาจจะสนใจทั้งโหราศาสตร์ไทย, ไพ่ทาโรต์, และการทำสมาธิแบบพุทธ โดยไม่ยึดติดกับความเชื่อใดความเชื่อหนึ่ง
ยุคโควิด-19 การกลับมาของความเชื่อ
ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ความสนใจในเรื่องพลังลึกลับและการพัฒนาจิตวิญญาณก็ยิ่งเพิ่มขึ้น คนจำนวนมากหันมาสนใจเรื่องการดูแลสุขภาพจิตใจและการหาความหมายของชีวิตมากขึ้น
สายมูยุคนี้มักจะสนใจเรื่องการเยียวยาตัวเอง การทำสมาธิ และการใช้พลังงานบวกในการดำเนินชีวิต มีการผสมผสานระหว่างความเชื่อดั้งเดิมกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เช่น การใช้แอพพลิเคชั่นในการทำสมาธิ หรือการใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์ดวงชะตา
ปัจจุบัน สายมูยุคใหม่
ในปัจจุบัน สายมูได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมป๊อป มีการนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับความเชื่อและพลังลึกลับในสื่อต่างๆ ทั้งภาพยนตร์ ซีรีส์ และเพลง
สายมูยุคนี้มีความหลากหลายมาก บางคนอาจจะสนใจแค่การดูดวงเล่นๆ ในขณะที่บางคนอาจจะศึกษาเรื่องพลังจักรวาลอย่างจริงจัง แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ พวกเขามักจะมีมุมมองที่เปิดกว้าง ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง และพยายามหาความสมดุลระหว่างความเชื่อและเหตุผล
นอกจากนี้ ยังมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการศึกษาเรื่องพลังลึกลับมากขึ้น เช่น การใช้เครื่องสแกนสมองในการศึกษาผลของการทำสมาธิ หรือการใช้ AI ในการวิเคราะห์รูปแบบของชีวิต
ສະຫຼຸບ
จากอดีตถึงปัจจุบัน เราจะเห็นได้ว่าความเชื่อเรื่องพลังลึกลับ หรือที่เรียกว่า “สายมู” ในปัจจุบัน มีวิวัฒนาการมาอย่างยาวนาน มีทั้งช่วงที่รุ่งเรืองและช่วงที่ถูกท้าทาย
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ไม่ว่าโลกจะพัฒนาไปแค่ไหน วิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าเพียงใด ความสนใจในเรื่องพลังลึกลับก็ยังคงอยู่ มันเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมนุษย์ที่ต้องการเข้าใจสิ่งที่อยู่เหนือการรับรู้ของเรา
สายมูในปัจจุบันไม่ใช่แค่การเชื่ออย่างงมงาย แต่เป็นการผสมผสานระหว่างความเชื่อ วิทยาศาสตร์ และการพัฒนาตนเอง มันเป็นวิธีหนึ่งที่คนเราใช้ในการทำความเข้าใจตัวเองและโลกรอบตัว